(เขียนเมื่อ 12 มกราคม 2555)
วันนี้ ระหว่างเดินเล่นนอกบ้านอยู่กับลูก ท่ามกลางอากาศหนาวยามดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้ว เสียงลูกชายวัยสี่ขวบบอกว่า “แสงอาทิตย์ใกล้หมดแล้วนะพ่อ” ทำให้หันไปมองทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ (มองจากตำแหน่ง 42 องศาเหนือ) ตำแหน่งที่ยังมีแสงสว่างที่สุดอยู่ก็เห็นว่าแสงสว่างเหลือน้อยลงเต็มที นาฬิกาข้อมือบอกเวลาว่าห้าโมงเย็นแล้ว วันนี้ดวงอาทิตย์ตกเวลา 16.32 น. ก็ผ่านไปแล้วเกือบครึ่งชั่วโมง ในตอนนั้นก็เกิดคำถามขึ้นในใจว่าแสงอาทิตย์นี้กระจายไปได้ไกลแค่ไหน (กี่องศา) ก่อนหรือหลังที่ต้นกำเนิดของมันปรากฏบนท้องฟ้า เลยคิดไปถึงความโค้งของผิวโลกกับการมองเห็นแสงอาทิตย์และดวงดาว ตำแหน่งการโคจรของโลกสัมพันธ์กับดวงอาทิตย์และจักราศรีทั้งสิบสอง ที่เป็นตัวบอกว่าตำแหน่งของโลกสัมพันธ์กับแกนกลางของจักรวาลเป้นอย่างไรในช่วงเวลานั้น ทำให้ความรู้สึกถึงความเชื่อมโยงกันระหว่างจักรวาล โลก และมนุษย์ เข้มข้นขึ้นในใจ
ในนึกไปถึงท่วมทำนองแห่งจักรวาลที่ปรากฎในชีวิต การหมุนเวียนอย่างสม่ำเสมอ เป็นจังหวะ (rhythm) ที่แน่นอน เป็นสิ่งที่ทำให้เกิดสมดุล เกิดสภาวะที่เชื่อมโยงกันเป็นหนึ่งเดียว (wholeness หรือ healthy) ดังนั้นการกลับคืนสู่ความเชื่อมโยงนี้จึงน่าจะเป็นหนทางที่ทำให้มนุษย์และสังคม และสรรพสิ่งบนโลก (ที่เชื่อมโยงกันเป็น the Earth ที่เป็นหนึ่งชีวิตในระบบของจักรวาล) กลับคืนสู่สภาวะสูงสุด นั่นคือสภาวะความกลมกลืนเป็นหนึ่งเดียว ที่ นพ.ประสาน ต่างใจ เคยเปรียบเทียบว่า กลับสู่ภาวะนิพพาน ที่คลื่นทั้งหมดราบเรียบไม่มีการก่อตัวของพลังงานหรือมวลสารใด ๆ อีก
ดังนั้นการศึกษาถึงความเชื่อมโยงของมนุษย์ สังคม สิ่งมีชีวิตบนโลก กับจักรวาล ก็อาจเป็นหนทางหนึ่งที่จะทำให้เกิดความเติบโตทางความคิดและจิตใจ (mentality) ความเติบโตทางจิตวิญญาณ (spirituality) เพิ่มเติมไปจากการเรียนรู้เพื่อให้ร่างกายและสังคมมีสุขภาพที่ดี (physical and social health)
จุดเริ่มต้นที่สำคัญของความเชื่อมโยงนี้คือการเรียนรู้เรื่อง ปฎิทิน (calendar) ซึ่งเป็นบันทึกที่มนุษย์ใช้พยากรณ์ความเป็นไปของจักรวาล และเตรียมตัวสำหรับการดำเนินชีวิต
(บันทึกจบไว้เท่านี้ อาจเพราะหมดแรง หรือไม่ก็หมดเวลา เพราะในช่วงนั้นกำลังเร่งเขียนวิทยานิพนธ์เพื่อให้จบปริญญาโทให้ได้…)