การใช้ประโยชน์จากการวิจัยสุขภาพ

(บทความนี้เขียนในช่วงต้นปี พ.ศ. 2555 ระหว่างเรียนปริญญาโท เป็นการทดลองใช้การเขียน blog เขียนบทความแบบงานวิชาการ )

ประเด็นเรื่อง “การใช้ประโยชน์จากการวิจัยสุขภาพ” เป็นเรื่องที่มีความซับซ้อน เชื่อมโยงกับหลายแนวคิดที่มีความสำคัญ อาทิ สุขภาพ การวิจัย การใช้ประโยชน์ รวมไปถึงแนวคิดเรื่อง ความรู้ อำนาจ และ การพัฒนา ซึ่งแต่ละแนวคิดมีบริบททางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมเข้ามาเกี่ยวข้องอย่างแยกไม่ออก จนแทบเป็นไปไม่ได้ที่จะกล่าวถึงเรื่องใดเรื่องหนึ่งอย่างลอย ๆ ดังนั้น การศึกษาในเรื่องนี้จึงต้องชี้ให้เห็นถึงบริบททางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของมันเสียก่อน โดยอาจเน้นที่ประเด็นหลัก (key theme) คือเรื่อง การวิจัย การวิจัยสุขภาพ และการใช้ประโยชน์จากการวิจัย

การวิจัยในสังคมไทย

ในสังคมไทย คำว่า “วิจัย” ถูกใช้ในหลายความหมายและมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอจนยากที่จะระบุนิยามที่เฉพาะเจาะจง (definition) ลงไปได้ อย่างไรก็ตามสิ่งที่พอจะทำได้คือการกำหนดบริบทของคำที่กล่าวถึงนั้น โดยเชื่อมโยงกับคำหรือแนวคิดอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ในลักษณะของสนามความหมาย (semantic field) เพื่อให้ความหมายและแนวคิดที่เชื่อมโยงกันนั้นมีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น

พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต) กล่าวถึงคำว่า “วิจัย” ว่าเป็นคำสมัยใหม่ที่มีความหมายเฉพาะต่างไปจากคำศัพท์เดิมคำว่า “วิจโย” ในภาษาบาลีและสันกฤต ซึ่งเป็นคำหลักหนึ่งในพุทธศาสนาที่มีความหมายเดียวกับคำว่า ปัญญา แต่โดยคำศัพท์ก็มีความหมายว่า เฟ้น หรือสอดส่องค้นหาในสิ่งที่ต้องการ [1] ซึ่งสอดคล้องกับความหมายทั่วไปของคำว่า research ในภาษาอังกฤษที่มาจากภาษาฝรั่งเศสโบราณคำว่า recercher ที่หมายถึงการออกไปค้นหา (to go about seeking) [2] ส่วนความหมายสมัยใหม่นั้นเกี่ยวข้องกับ “การค้นคว้าเพื่อหาข้อมูลอย่างถี่ถ้วนตามหลักวิชา” โดยที่ “ข้อมูล” นั้นหมายถึง “ข้อเท็จจริง หรือสิ่งที่ถือหรือยอมรับว่าเป็นข้อเท็จจริง” [3] จึงมีลักษณะเป็นกิจกรรมที่แปลกแยกออกจากวิถีชีวิตของคนทั่วไป ซึ่ง นพ.โกมาตร จึงเสถียรทรัพย์กล่าวไว้ว่า คนทั่วไปมักมีมายาคติที่ว่า “งานวิจัยเป็นเรื่องยาก เป็นเรื่องใหญ่ และไม่ใช่เรื่องของเรา” [4]

การวิจัยในประเทศไทย ได้รับการพัฒนาอย่างจริงจังภายหลังการจัดตั้งสภาวิจัยแห่งชาติ ขึ้นในปี พ.ศ. 2499 และต่อมาได้มีการปรับปรุงระบบงานและขยายภารกิจให้ครอบคลุมการวิจัยทั้งด้านวิทยาศาสตร์และสังคมศาสตร์ ในสมัยรัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ซึ่งได้กล่าวไว้ในการเปิดประชุมสภาวิจัยแห่งชาติในปี พ.ศ.2502 ว่า “การตั้งสภาวิจัยแห่งชาตินั้น เกิดจากความคิดที่ว่า รัฐบาลนี้ไม่ประสงค์จะทำอะไรโดยไม่พินิจพิเคราะห์ให้รอบคอบและการพินิจ พิเคราะห์นั้นจะต้องทำโดยทางวิชาการ แม้การวางแนวนโยบายของรัฐบาลในระยะยาวแต่ ละเรื่องก็อยากจะให้ผู้รอบรู้ทาง วิชาการ ได้วิจัยเสนอข้อคิดประกอบความดำริของคณะรัฐมนตรีเท่าที่สามารถจะทำได้” [5] การพัฒนาการวิจัยในประเทศไทยจึงเริ่มต้นด้วยแนวคิดการใช้ประโยชน์จากการวิจัยในการวางแผนและการตัดสินใจเชิงนโยบายของรัฐบาล ซึ่งต่อมาเพื่อสนับสนุนการพัฒนาและการแก้ปัญหาที่หลากหลาย จึงมีหน่วยงานด้านการวิจัยเพิ่มขึ้นจำนวนมาก การนิยามความหมายของสิ่งที่เรียกว่า “การวิจัย” ก็มีการเปลี่ยนแปลงไปมาก จากเดิมที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติสภาวิจัยแห่งชาติ พ.ศ. 2502 ว่าหมายถึง “การค้นคว้าสอบสวนและเสนอผลของงานทางวิทยาศาสตร์และสังคมศาสตร์…” [6] ในปัจจุบันมีความหมายที่กว้างขวางครอบคลุมกิจกรรมที่หลากหลายที่เกี่ยวข้องกับการสร้างความรู้และการใช้ประโยชน์จากความรู้ ดังที่กำหนดไว้ใน ระเบียบสภาวิจัยแห่งชาติว่าด้วยทุนอุดหนุนการวิจัย พ.ศ.2551 ว่า

“การวิจัย” หมายถึง การดำเนินการเพื่อการศึกษา ค้นคว้า วิเคราะห์ทดลองอย่างมีระบบตามหลักวิชาการ เพื่อค้นหาข้อเท็จจริงหรือหลักการที่จะนำไปใช้ในการตั้งกฎ ทฤษฎี หรือแนวทางการปฏิบัติ โดยอาจเป็นการวิจัยพื้นฐาน (Basic Research) การวิจัยประยุกต์ (Applied Research) การวิจัยและพัฒนา (R & D) การวิจัยธุรกิจ (Business Research) การวิจัยแบบบูรณาการ (Integrated Research) ตลอดจนการประดิษฐ์คิดค้นและนวัตกรรม [7]

ดังได้กล่าวแล้วว่า แนวคิดเรื่องการใช้ประโยชน์จากความรู้ที่ได้จากการวิจัย เป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนาการวิจัยมาตั้งแต่แรก ดังนั้นในฐานะที่การวิจัยเป็นกิจกรรมเพื่อสนับสนุนการพัฒนาและการแก้ปัญหา อีกทั้งเป็นกิจกรรมที่ใช้งบประมาณและทรัพยากรจำนวนมาก จึงถูกคาดหวังว่าผลที่ได้จากการวิจัยจะไม่ได้ถูกเก็บไว้เป็นเพียงงานทางวิชาการเท่านั้น ในสังคมไทยจึงเกิดวาทกรรมหนึ่งขึ้นมา คือคำว่า “งานวิจัยขึ้นหิ้ง” ที่หมายถึงงานวิจัยที่ไม่ถูกใช้ให้เป็นประโยชน์ ในปี พ.ศ.2550 รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มีนโยบายที่จะพัฒนาระบบวิจัยของประเทศ [8] โดยมีเป้าหมายที่จะเพิ่มศักยภาพของระบบการวิจัยและพัฒนาให้งานวิจัยถูกนำไปใช้ประโยชน์ในการสนับสนุนการพัฒนาประเทศมากยิ่งขึ้ัน เรื่องของการใช้ประโยชน์จากงานวิจัยจึงได้รับความสนใจจากสาธารณะมากขึ้นอีกครั้ง อีกทั้งวาทกรรม “งานวิจัยขึ้นหิ้ง” ถูกนำมาใช้เป็นข้อต่อรองในการจัดสรรทรัพยากร ตัวอย่างเช่น หากสามารถพิสูจน์ได้ว่างานวิจัยสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้จริงก็จะมีการจัดสรรงบประมาณการวิจัยเพิ่มขึ้น [9]

อย่างไรก็ตามคำว่า “งานวิจัยขึ้นหิ้ง” ก็มีความหมายที่กำกวม โดยในความหมายหนึ่งใช้เป็นคำที่ตรงกันข้ามกับคำว่า “งานวิจัยขึ้นห้าง” ซึ่งหมายถึงงานวิจัยที่สามารถนำไปผลิตเป็นสินค้าหรือบริการให้ผู้บริโภคหรือประชาชนทั่วไปนำไปใช้ประโยชน์ได้ ต่างจากงานวิจัย “ขึ้นหิ้ง” ที่เน้นแนวคิดหรือทฤษฎี ซึ่งมีข้อโต้แย้งว่าการวิจัยเหล่านี้ต่างหากที่มีความสำคัญในการพัฒนาความรู้ ที่จะใช้ต่อยอดไปจนสร้างเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ขึ้นมาได้ [10] ซึ่งความหมายนี้มักถูกใช้ในการสนทนาทั้งที่ไม่เป็นทางการและกึ่งทางการ รวมทั้งถูกใช้โดยสื่อมวลชนเมื่อกล่าวถึงความสำเร็จในการสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ จากการวิจัย ส่วนในอีกความหมายหนึ่งนั้น “งานวิจัยขึ้นหิ้ง” ใช้เป็นคำตรงข้ามกับคำว่า “งานวิจัยเพื่อใช้ประโยชน์” ซึ่งถือเป็นเป้าหมายของการบริหารจัดการงานวิจัยที่ดี ตัวอย่างเช่น สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) จัดแบ่งการใช้ประโยชน์จากการวิจัยออกเป็น 5 กลุ่ม [11] ได้แก่

  1. การใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์ มุ่งเน้นการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ลดต้นทุนการผลิต หรือลดการนำเข้า โดยวัดผลจากการยื่นขอสิทธิบัตร การใช้ผลงานวิจัยหรือการต่อยอดเทคโนโลยีโดยผู้ใช้โดยตรง
  2. การใช้ประโยชน์เชิงนโยบาย มุ่งเน้นการใช้ผลการวิจัยและข้อมูลจากการวิจัยในการขับเคลื่อนหรือเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบาย ทั้งในระดับพื้นที่ ระดับชาติ หรือระดับภูมิภาค
  3. การใช้ประโยชน์เชิงสาธารณะ มุ่งเน้นผู้ได้ประโยชน์ในวงกว้างคือประชาชนทั่วไป ในประโยชน์หลายด้าน เช่น คุณภาพชีวิต สิ่งแวดล้อม สันติภาพ และการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์โดย “กระบวนการวิจัย”
  4. การใช้ประโยชน์เชิงพื้นที่ มุ่งเน้นผู้ได้ประโยชน์ในพื้นที่เฉพาะ เช่น การวิจัยเพื่อท้องถิ่นที่ผู้ทำและผู้ใช้ผลการวิจัยคือคนในพื้นที่เอง โดย สกว. เข้าไปช่วยสนับสนุน
  5. การใช้ประโยชน์เชิงวิชาการ ในแง่การวิจัยและพัฒนาจะมุ่งเน้นที่การถูกนำไปใช้ต่อยอด โดยไม่ได้มุ่งเน้นที่ตัวชี้วัดในเรื่องการได้รับการตีพิมพ์

การจัดการงานวิจัยกับการใช้ประโยชน์จากการวิจัยสุขภาพในประเทศไทย

ในด้านการวิจัยสุขภาพ นับแต่เริ่มจัดตั้งสภาวิจัยแห่งชาติในปี พ.ศ.2499 การวิจัยด้านวิทยาศาสตร์การแพทย์ ได้รับการกำหนดให้เป็นสาขาหลักหนึ่งที่ภาครัฐให้ความสำคัญ ต่อมาในมี พ.ศ. 2535 จึงมีการพัฒนาสิ่งที่เรียกว่า “การวิจัยระบบสาธารณสุข” อย่างจริงจัง โดยการจัดตั้งสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) ขึ้นเพื่อเป้าหมายในการใช้ประโยชน์จากการวิจัยในการสนับสนุน “การพัฒนาระบบสาธารณสุข” ที่ได้รับการนิยามไว้ในกฎหมายว่า

“การพัฒนาระบบสาธารณสุข” หมายถึง การศึกษา ค้นคว้า และวิจัยกิจการด้านสาธารณสุข ในเชิงสหวิทยาการ โดยสัมพันธ์กับศาสตร์ด้านอื่น เช่น สังคมศาสตร์ วิทยาศาสตร์ การแพทย์ เศรษฐศาสตร์ จิตวิทยา หรือพฤติกรรมศาสตร์ เพื่อให้กิจการด้านสาธารณสุขสามารถพัฒนาไปอย่างมีระบบ และสามารถแก้ไขปัญหาสาธารณสุขอย่างมีประสิทธิภาพ [12]

แม้ในกฎหมายจะไม่ได้นิยามคำว่า “การวิจัย” เอาไว้ดังเช่นในกฎหมายจัดตั้งสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ที่ตั้งขึ้นในปีเดียวกัน [13] แต่จากนิยามข้างต้นได้ชี้ให้เห็นว่ากิจกรรมในการสร้างความรู้ไม่ว่าจะเป็นการศึกษาค้นคว้าหรือวิจัยซึ่งมีความหมายคาบเกี่ยวกับนั้น มีเป้าหมายที่ชัดเจนคือการแก้ปัญหาและการพัฒนาในด้านสาธารณสุขที่มีระบบและมีประสิทธิภาพ การจัดตั้ง สวรส. นั้นที่มีเป้าหมายเพื่อสนับสนุนการปฏิรูประบบสุขภาพ สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ “สามเหลี่ยมเขยื้อนภูเขา” ของ ศ.นพ.ประเวศ วะสี ซึ่งเสนอว่าการปฏิรูปนั้นต้องอาศัย การสร้างความรู้ที่จำเป็นด้วยกระบวนการวิจัย ที่ต้องเชื่อมโยงกับกระบวนการเคลื่อนไหวทางสังคม และมีภาคการเมืองเข้ามามีส่วนร่วม [14] ซึ่งยุทธศาสตร์นี้เป็นตัวแบบ (model) ที่สำคัญ ในการเชื่อมโยงระหว่างการสร้างความรู้ด้วยการวิจัย และการใช้ประโยชน์ในเชิงนโยบาย ที่ทำให้ สวรส. เป็นเครื่องมือสำคัญในกระบวนการพัฒนาระบบสุขภาพของประเทศไทยในสองทศวรรษที่ผ่านมา

ในการพัฒนา “ระบบวิจัยสุขภาพ” มีปัญหาวิกฤติอย่างหนึ่งที่แสดงตัวให้เห็นอย่างชัดเจน คือ ช่องว่างที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ระหว่างฝ่ายผู้สร้างความรู้ คือ นักวิจัย นักวิชาการหรือนักคิด  กับฝ่ายผู้ใช้ความรู้ คือ ผู้กำหนดนโยบาย ผู้บริหาร ผู้จัดบริการสุขภาพ และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียต่าง ๆ ซึ่งจากการถอดบทเรียนจากการดำเนินงานของ สวรส. ในปี พ.ศ. 2547 นพ.วิพุธ พูลเจริญ และคณะได้ชี้ให้เห็นว่า “การจัดการงานวิจัย” มีบทบาทสำคัญในการลดช่องว่างดังกล่าว โดยทำหน้าที่เชื่อมโยงระหว่างวงจรการสร้างความรู้ (knowledge generation) และวงจรการใช้ความรู้ (knowledge utilization) [15] โดยมีพื้นฐานมาจากแนวคิดการจัดการความรู้ระหว่างบุคคลที่มีกระบวนการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างกันเป็นองค์ประกอบสำคัญ ที่ทำให้เกิดการหมุนวนระหว่างความรู้สองชนิดคือ ความรู้ฝังลึก (tacit knowledge) และความรู้เปิดเผย (explicit knowledge) กับการใช้ความรู้ การจัดการงานวิจัยจึงเป็นกิจกรรมที่ทำให้เกิดปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้สร้างและผู้ใช้ความรู้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งในเวลาต่อมา สวรส. ได้รับเอาแนวคิดการปิดช่องว่างโดยให้ผู้สร้างความรู้และผู้ใช้ความรู้กลายเป็นคนกลุ่มเดียวกัน ด้วยกิจกรรมการพัฒนางานประจำสู่งานวิจัย (Routine to Research: R2R) ซึ่ง สวรส. ได้จัดการประกวดผลงานกิจกรรม R2R จากทั่วประเทศนับแต่ พ.ศ. 2551 เป็นต้นมา [16] กิจกรรมดังกล่าวยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น จึงยังเน้นอยู่ที่การสร้างความรู้เพื่อสนับสนุนการพัฒนาการทำงานในระดับการปฏิบัติ มีเพียงบางผลงานเท่านั้นที่มีการใช้ประโยชน์ไปถึงระดับนโยบาย จึงยังต้องพิสูจน์ต่อไปว่า R2R จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถ (capacity building) ของระบบวิจัยสุขภาพ ที่ยังมีปัญหาว่าผลงานวิจัยจำนวนไม่น้อยไม่สามารถนำไปใช้ในเชิงนโยบายได้ ทำให้เกิดวงจรที่ทำให้การวิจัยสุขภาพโดยเฉพาะการวิจัยนโยบายและระบบสุขภาพไม่ได้รับการสนับสนุน ทำให้เกิดผลงานวิจัยที่ไม่ได้คุณภาพตามมา การเพิ่มขีดความสามารถที่จะช่วยตัดวงจรนี้ได้ จะต้องมีการสร้างขีดความสามารถทั้งในระดับบุคคลและระดับองค์กรของทั้งผู้วิจัย ผู้กำหนดนโยบาย และผู้ใช้ความรู้อื่น ๆ เช่น ภาคประชาชน รวมทั้งต้องมีการสร้างเครือข่ายและสร้างกระบวนการมีส่วนร่วมอย่างต่อเนื่อง [17]

ในการพัฒนาขีดความสามารถของการจัดการงานวิจัย ในปี พ.ศ. 2551 สวรส. ได้ทดลองนำกรอบการพัฒนาศักยภาพบุคลากรด้านการจัดการงานวิจัย ที่พัฒนาโดยองค์การอนามัยโลกภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (WHO/SEARO) มาสำรวจศักยภาพของผู้จัดการงานวิจัยของสวรส.และเครือข่ายจำนวนหนึ่ง พบว่าในกรอบศักยภาพ 8 ด้าน ที่มีศักยภาพด้าน “การบริหารจัดการเพื่อให้เกิดการใช้ประโยชน์จากงานวิจัย” รวมอยู่ด้วย พบว่าไม่มีศักยภาพด้านใดที่กลุ่มตัวอย่างระบุว่าตนเองทำได้ดี [18] จากการสำรวจนำร่องนี้ ได้มีการศึกษาเชิงคุณภาพเพื่อค้นหาศักยภาพที่จำเป็นของผู้บริหารงานวิจัยในการบริหารการใช้ประโยชน์จากการวิจัย [19] โดยการสำรวจประสบการณ์ของผู้จัดการงานวิจัยและองค์กรวิจัยสุขภาพในประเทศไทยที่ประสบความสำเร็จในการนำผลการวิจัยไปใช้ประโยชน์จริง ซึ่งจากกรณีศึกษาพบว่า การใช้ประโยชน์จากการวิจัยจะเกิดขึ้นได้ดีต้องมีการดำเนินการใน 3 ขั้นตอนคือ

  1. ก่อนวิจัย มีการพิจารณาว่าจะใช้ประโยชน์อย่างไร โดยใคร ทั้งการวิจัยระดับนโยบายหรือระดับปฏิบัติการ มีการให้ผู้ใช้เข้ามามีส่วนร่วมหรือให้ความเห็นตั้งแต่ตั้งโจทย์ หรือให้ผู้ใช้มาทำวิจัยเอง
  2. ระหว่างดำเนินการวิจัย มีการสื่อสารระหว่างผู้จัดการ ผู้วิจัยและผู้ใช้ เช่น ผู้จัดการงานวิจัยต้องติดตามเรื่องวิธีการและผลการวิจัยเบื้องต้น ว่าเป็นไปในทิศทางที่ต้องการหรือไม่ มีการค้นหาและการนำเสนอข้อค้นพบสำคัญ (key message) มีการจัดทำเอกสารเผยแพร่ (fact sheet)
  3. หลังการวิจัยเสร็จ ต้องจัดการเรื่องการใช้อย่างเต็มที่ โดยแปลผลการวิจัยให้ง่ายต่อการใช้ สื่อสารถึงกลุ่มเป้าหมายและติดตามการใช้

ข้อค้นพบดังกล่าว เป็นตัวแบบ (model) ทั่วไปที่น่าจะประยุกต์ใช้ได้กับการจัดการงานวิจัยสุขภาพในหลากหลาย อย่างไรก็ตามคณะผู้วิจัยก็ได้ให้ข้อสังเกตว่าแต่ละงานวิจัยจะต้องอาศัยกลวิธีย่อยหรือการจัดการเฉพาะ ที่เหมาะสมกับจังหวะโอกาสและบริบทเฉพาะของงานวิจัยนั้น ๆ

เป็นที่น่าสังเกตว่าในการกล่าวถึงการวิจัยด้านสุขภาพ (health research) ในประเทศไทย มีคำสองคำที่มักถูกใช้ปนกัน คือคำว่า “การวิจัยสุขภาพ” กับ “การวิจัยระบบสุขภาพ” [18,19,20] ทำให้เกิดความกำกวมในเรื่องขอบเขตของการวิจัยที่กล่าวถึง ซึ่งต่างไปจากการระบุอย่างชัดเจนโดยใช้คำว่า “การวิจัยนโยบายและระบบสุขภาพ” (health policy and system research) [17] แม้โดยภารกิจหลักตามกฎหมายและโดยการวางบทบาทของ สวรส. จะมุ่งเน้นการวิจัยเชิงระบบและการใช้ประโยชน์ในเชิงนโยบาย [20] แต่โดยบทบาทของ สวรส. ในฐานะองค์กรหลักในการจัดการการวิจัยด้านสุขภาพของประเทศ ทำให้ สวรส. ถูกมอบหมายและได้รับการคาดหวังให้รับผิดชอบดูแลการวิจัยสุขภาพซึ่งมีขอบเขตที่กว้างขวาง [8, 15]

อย่างไรก็ตามในการกำหนดเป้าหมายการดำเนินงาน “แผนงานวิจัยเพื่อพัฒนาระบบวิจัยสุขภาพ” ของ สวรส. ได้มีการกำหนดขอบเขตของระบบวิจัยสุขภาพว่า “ครอบคลุมตั้งแต่การวิจัยทาง คลินิก (clinical research) การวิจัยทางชีวการแพทย์ (biomedical research) การวิจัยระบบสุขภาพ (health systems research) และการพัฒนาเทคโนโลยีด้านสุขภาพ (health technology development)” [21] ซึ่งสามารถครอบคลุมรูปแบบการวิจัยและการใช้ประโยชน์ที่หลากหลายตามนิยามของ วช. และ สกว. [7, 11] ดังนั้นในการบริหารงานวิจัยเพื่อส่งเสริมให้มีการนำไปใช้ประโยชน์ จึงต้องมีการพัฒนาตัวแบบแนวคิดและแนวทางปฏิบัติที่นอกจากจะใช้ในการกำหนดแนวทางหลักในการทำงานแล้ว ยังควรจะสามารถรองรับลักษณะเฉพาะของแต่ละโครงการวิจัยและการใช้ประโยชน์ในลักษณะที่ต้องการได้ด้วย ตัวอย่างเช่น มีการทบทวนและเสนอกรอบแนวคิดว่ามีองค์ประกอบสำคัญ 3 ด้าน ที่จะสนับสนุนให้เกิดการแปรผลการศึกษาวิจัยสุขภาพไปสู่การปฏิบัติในระดับนโยบายสาธารณะ [22] ได้แก่

  1. กลุ่มสำคัญที่ควรมีบทบาทร่วมกันในการวิจัย คือ นักวิจัย ผู้สร้าง/กำหนด/ตัดสินใจเชิงนโยบาย และผู้ปฏิบัติตามนโยบาย
  2. กระบวนการวิกฤต คือการวางแผนถ่ายทอดข้อมูลและองค์ความรู้ไปสู่กลุ่มเป้าหมายอย่างเหมาะสม ทั้งเชิงปริมาณและคุณภาพ และ การสร้างกระบวนการสนับสนุนต่อยอดระหว่างการวิจัยและการดำเนินนโยบาย (กงล้อ Research to Policy to Research)
  3. ปัจจัยเกื้อหนุนที่สำคัญคือ การมีผลการศึกษาวิจัยที่ดี, ผู้นำเสนอข้อมูลมีความน่าเชื่อถื่อ, มีความร่วมมือของทุกภาคส่วน, มีเงือนเวลาที่เหมาะสม, และมีแรงผลักดันหรือสนับสนุนจากต่างประเทศ

การวิจัยสุขภาพและการใช้ประโยชน์ในระดับนานาชาติ

ในระดับนานาชาติ นับแต่หลังสงครามโลกครั้งที่สองเป็นต้นมา ได้มีการพัฒนาการวิจัยอย่างจริงจังเพื่อสนับสนุนการพัฒนาทั้งในระดับประเทศและระดับนานาชาติ โดยประเทศร่ำรวยประสบความสำเร็จในการพัฒนาเศรษฐกิจโดยการวางแผนและการลง ทุนในทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ในขณะที่ประเทศที่มีรายได้ต่ำ-ปานกลาง ได้รับเงินบริจาคและการสนับสนุน แต่มีการลงทุนเพื่อการพัฒนาในระยะยาวเพียงเล็กน้อยเท่านั้น โดยประเทศร่ำรวยเองก็ไม่ต้องการให้ประเทศเหล่านี้กลายมาเป็นคู่แข่งของตน ในด้านสุขภาพมีปัญหาสำคัญคือเรื่องความไม่เป็นธรรม โดยเฉพาะในการเข้าถึงบริการทางการแพทย์และสาธารณสุขที่จำเป็นของประชาชนใน ประเทศกำลังพัฒนา อีกทั้งทุนวิจัยโดยรวมในด้านสุขภาพของโลก แม้จะเพิ่มขึ้นจาก 30 พันล้านเหรียญสหรัฐต่อปี ในปี 1986 เป็น 160 พันล้านเหรียญสหรัฐต่อปี ในปี 2005 แต่มีเพียงร้อยละ 5 เท่านั้นที่ใช้เพื่อการวิจัยที่สอดคล้องกับความต้องการของประเทศที่มีรายได้ ต่ำ-ปานกลาง [23]

นอกจากนี้การวิจัยสุขภาพในช่วงก่อนปี ค.ศ. 1990 จะมุ่งเน้นการวิจัยในปัญหาที่จัดอยู่ในกลุ่มที่เกี่ยวกับโรค แต่ละเลยปัญหาอื่นที่ไม่จัดว่าเป็นเรื่องของโรคใดโรคหนึ่ง เช่น เรื่องสารสนเทศทางสุขภาพ การเงินการคลังด้านสุขภาพ หรือการใช้ยาที่ไม่เหมาะสม คณะกรรมการด้านการวิจัยสุขภาพเพื่อการพัฒนา (Commission on Health Research for Development) ขององค์การอนามัยโลก จึงเสนอให้มีการให้ความสำคัญกับการวิจัยสุขภาพในด้านอื่น ๆ ที่สนับสนุนการกำหนดนโยบาย การบริหารจัดการ การตัดสินใจจัดสรรทรัพยากร ซึ่งเชื่อว่าเป็นการวิจัยที่จำเป็นสำหรับทุกประเทศ โดยเสนอให้มีการทำงานร่วมกันในระดับนานาชาติ เพื่อส่งเสริมให้แต่ละประเทศดำเนินการวิจัยภายใต้แนวคิด “การวิจัยที่จำเป็นในระดับชาติ” (Essential National Health Research, ENHR) ซึ่งไม่ได้จำกัดอยู่เพียงในภาคสุขภาพเท่านั้น แต่ครอบคลุมไปถึงการพัฒนาด้านอื่น ๆ ที่มีผลต่อสุขภาพด้วย [24] ต่อมาในปี ค.ศ.1993 จึงมีการจัดตั้ง COHRED (The Council on Health Research for Development) เป็นองค์กรพัฒนาเอกชนระหว่างประเทศ เพื่อส่งเสริมยุทธศาสตร์ ENHR ในประเทศที่มีรายได้ต่ำและปานกลาง ซึ่งได้ทำให้การวิจัยสุขภาพมีการพัฒนาก้าวหน้าขึ้นตามลำดับ นับแต่ปี ค.ศ. 2004 มีการปรับเปลี่ยนทีสำคัญคือเปลี่ยนจากการใช้เงินบริจาคในการวิจัยเป็นการหา ทุนวิจัยโดยทำสัญญากับแหล่งทุนอื่นเพื่อดำเนินการวิจัยที่แต่ละประเทศให้ ความสำคัญภายใต้แนวคิดการพัฒนาระบบวิจัยสุขภาพแห่งชาติ (National Health Research System) และการเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะเกิดขึ้นภายหลังปี 2010 คือการเปลี่ยนเปลงในเวทีวิจัยระดับโลก ที่ประเทศที่มีรายได้ต่ำ-ปานกลาง หลายประเทศ เปลี่ยนจากการเป็น “ผู้รับ” มาเป็นผู้นำในการวิจัยและนวัตกรรม ที่มีบทบาทในการพัฒนาสุขภาพในระดับโลก จึงมีสถานะที่เท่าเทียมในการทำงานร่วมกับประเทศที่พัฒนาแล้ว [23]

อย่างไรก็ตามการพัฒนาขีดความสามารถในการวิจัยและการใช้ประโยชน์จากการวิจัย ก็ยังคงเป็นสิ่งท้าทายสำคัญของการวิจัยสุขภาพ โดยสมัชชาอนามัยโลกในปี ค.ศ.2005 มีมติเรียกร้องให้มีการสร้างความความเข้มแข็งและความร่วมมือในการวิจัยและใช้ องค์ความรู้สนับสนุน (evidence-based) ในกระบวนการนโยบายที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพ การดำเนินงานด้านสาธารณสุข และการให้บริการสุขภาพ โดยมติดังกล่าว วางอยู่บนพื้นฐานของข้อเสนอ ที่คณะกรรมการด้านการวิจัยสุขภาพเพื่อการพัฒนา  ได้เสนอไว้ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1990 เช่น ข้อเสนอที่ว่าประเทศกำลังพัฒนาควรจัดสรรงบประมาณด้านสุขภาพของประเทศอย่าง น้อยร้อยละ 2 เพื่อใช้ในการวิจัยและพัฒนาขีดความสามารถในการวิจัย [25]

อย่างไรก็ตามการเปลี่ยนแปลงแนวคิดเกี่ยวกับสุขภาพในทศวรรษที่ผ่านมา โดยเฉพาะการมองสุขภาพในกรอบแนวคิดเรื่องสิทธิมนุษยชน เช่น ในกฎบัตรกรุงเทพว่าด้วยการสร้างเสริมสุขภาพในปี ค.ศ. 2005  ทำให้ขอบเขตของการวิจัยสุขภาพ (health research) หรือการวิจัยเพื่อสุขภาพ (research for health) ถูกขยายให้กว้างขวางขึ้นอย่างมาก ครอบคลุมตั้งแต่การวิจัยทางด้านชีวการแพทย์ในการพัฒนายา วัคซีน เครื่องมือแพทย์หรือการวินิจฉัยโรค จนถึง การวิจัยในทางเคมี ชีววิทยา กายภาพ การเกษตร มนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ การวิจัยทางนโยบาย การวิจัยเชิงระบบ การวิจัยเชิงปฏิบัติการ หรือการวิจัยพฤติกรรม เป็นต้น [26]

องค์การอนามัยโลกเอง ก็ได้กำหนดบทบาทหลักอย่างหนึ่งในการทำงานในปี ค.ศ.2006-2015 คือ การพัฒนาวาระการวิจัย (research agenda) และกระตุ้นให้เกิดการสร้าง ถ่ายทอด และการนำองค์ความรู้ไปใช้ประโยชน์ (translation) ในการพัฒนาสุขภาพ [27] อีกทั้งรายงานสุขภาพโลก (World Health Report) ในปี 2012 (อยู่ระหว่างจัดทำ) กำหนดเนื้อหาหลักในเรื่องการวิจัยสุขภาพและเน้นบทบาทของการวิจัยต่อการพัฒนาสุขภาพ โดยกำหนดชื่อเบื้องต้นของรายงานไว้ว่า “No Health Without Research” [28] จึงแสดงให้เห็นความสำคัญของการวิจัยสุขภาพ และการนำองค์ความรู้ไปใช้ประโยชน์ ซึ่งในด้านการใช้ประโยชน์จากการวิจัยนั้นองค์การอนามัยโลกได้รับเอาตัวแบบแนวคิดเรื่อง “Knowledge Translation” (KT) ของสหสถาบันวิจัยสุขภาพแห่งแคนาดา (CIHR) มาใช้ [29]

แม้ KT จะเป็นตับแบบแนวคิดเรื่องการใช้ประโยชน์จากการวิจัยที่มีการนำไปปรับใช้และมีการศึกษาวิจัยเพิ่มเติมอย่างกว้างขวาง แต่ก็ยังมีตัวแบบอื่น ๆ ที่ได้รับการพัฒนาขึ้นซึ่งมีความเหมาะสมกับลักษณะเฉพาะและบริบทที่แตกต่างกันออกไปของการวิจัยสุขภาพ ซึ่งจะนำเสนอในรายละเอียดต่อไป

เอกสารอ้างอิง

  1. พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต).การศึกษากับการวิจัยเพื่ออนาคตของประเทศไทย. ปาฐกถา ในการประชุมวิชาการประจำปี 2538 ของกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) วันที่ 17 พฤศจิกายน 2538 ณ โรงแรมเซ็นทรัลพลาซ่า กรุงเทพฯ ( เอกสารอิเล็กทรอนิกส์ สืบค้นได้จาก http://www.watnyanaves.net/uploads/File/books/pdf/education_and_research_for_the_future_of_thailand.pdf)
  2. Merriam-Webster online dictionary (http://www.merriam-webster.com/dictionary/research)
  3. พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 (สืบค้นได้จาก http://rirs3.royin.go.th/dictionary.asp)
  4. โกมาตร จึงเสถียรทรัพย์. 10 ขั้นง่าย ๆ วิจัยคุณภาพ เคล็ดวิชาจากสามัญสู่ขั้นเทพ. นนทบุรี: สำนักพิมพ์สุขศาลา 2553, หน้า 20.
  5. ประวัติความเป็นมา สภาวิจัยแห่งชาติ (http://www.nrct.go.th/index.php?mod=contents&req=view&id=88)
  6. พระราชบัญญัติสภาวิจัยแห่งชาติ พ.ศ. 2502
  7. ระเบียบสภาวิจัยแห่งชาติว่าด้วยทุนอุดหนุนการวิจัย พ.ศ.2551
  8. สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ. “การปฎิรูประบบวิจัยของประเทศ” (ไม่ระบุปี) (http://www.nrct.go.th/downloads/ps/thailand_research_reform.pdf)
  9. “วช. ร่วมกับ สวรส. แก้ปัญหางานวิจัยขึ้นหิ้ง” (http://www.hsri.or.th/news/65)
  10. วรภัทร โตธนะเกษม “ขึ้นหิ้ง หรือ ขึ้นห้าง” (ไม่ระบุปี) (http://www.tris.co.th/index.php?option=com_content&task=view&id=161&Itemid=71)
  11. สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย. การใช้ประโยชน์จากการวิจัย ปี พ.ศ.2552. สกว., 2553.
  12. พระราชบัญญัติสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข พ.ศ. 2535
  13. พระราชบัญญัติกองทุนสนับสนุนการวิจัย พ.ศ. 2535
  14. Prawase Wasi. Triangle That Moves the Mountain and Health Systems Reform Movement in Thailand. Nontaburi: Health System Research Institute, 2000.
  15. วิพุธ พูลเจริญ และคณะ. ถอดบทเรียนการจัดการงานวิจัยระบบสุขภาพ. นนทบุรี: สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข, 2547.
  16. จรวยพร ศรีศศลักษณ์ และคณะ. สังเคราะห์ปัญญาเพื่อพัฒนา R2R. นนทบุรี: สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข, 2553.
  17. จอมขวัญ โยธาสมุทร และคณะ. การสร้างขีดความสามารถสำหรับการวิจัยนโยบายและระบบสุขภาพในประเทศไทย. วารสารวิจัยระบบสาธารณสุข 2550; ปีที่ 2 ฉบับที่ 3 (กค.-กย. 2550): 388-400.
  18. จเร วิชาไทย, พงษ์พิสุทธิ์ จงอุดมสุข. ศักยภาพผู้จัดการงานวิจัยไทย : กรณีศึกษาการวิจัยระบบสุขภาพ. วารสารวิจัยระบบสาธารณสุข 2552; ปีที่ 3 ฉบัยที่ 1 (ม.ค.- มี.ค. 2552):87-96.
  19. สุพัตรา ศรีวณิชชากร, บังอร เทียบเทียน, นภาพร โสวัฒนางกูร, สุรศักดิ์ สุนทร. การประเมินความต้องการเพื่อการพัฒนาศักยภาพการบริหารการใช้ประโยชน์จากงาน วิจัย. สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข 2552.
  20. สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข. แผนยุทธศาสตร์สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข พ.ศ. 2554-2558. นนทบุรี: สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข, 2553.
  21. แผนงานวิจัยเพื่อพัฒนาระบบวิจัยสุขภาพ (http://www.hsri.or.th/plans/29)
  22. ภัทรวัณย์ วรธนารัตน์, ธีระ วรธนารัตน์. การศึกษาองค์ความรู้ด้านการแปรผลการศึกษาวิจัยสุขภาพไปสู่การปฏิบัติระดับ นโยบายสาธารณะ. 2554.
  23. The Council on Health Research for Development, COHRD. The Council on Health Research for Development Annual Report 2010. ; 2010.
  24. Commission on Health Research for Development. Health research: essential link to equity in development. New York, Oxford University Press, 1990.
  25. World Health Organization. World Health Assembly Resolution 58.34, Ministerial Summit on Health Research. WHO, 2005. (http://apps.who.int/gb/ebwha/pdf_files/WHA58/WHA58_34-en.pdf)
  26. Global Forum for Health Research. Monitoring Financial Flows for Health Research 2005: Behind the Global Numbers. Geneva: Global Forum for Health Research; 2006.
  27. World Health Organization. Engaging for Health: 11th General Programme of Work, 2006-2015. Geneva: WHO, 2006.
  28. “World Health Report 2012” (http://www.who.int/rpc/whr2012/en/index.html)
  29. Landry R, Amara N, Pablos-Mendes A, Shademani R, Gold I. The knowledge-value chain: A conceptual framework for knowledge translation in health. Bull World Health Organ 2006 Aug;84(8):597-602.

ใส่ความเห็น